ผลกระทบของวิกฤติการณ์พลังงาน
ส่วนต่างๆ
ของโลกมีความพยายามแก้ไขปัญหาพลังงานเป็นสองแนวทาง คือ
การแสวงหา
พลังงานใหม่มาทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน พลังงานที่ประเทศต่างๆ หันมาให้ความสนใจ คือ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากชีวมวล ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ การประหยัดพลังงาน ซึ่งหมายถึง
การใช้พลังงานเท่าที่จำเป็นและการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์และกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลงโดยไม่ลดผลผลิต ผลกระทบพลังงาน ซึ่งจะยกตัวอย่างผลกระทบจากพลังงานบางชนิด ดังนี้
ผลกระทบจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน – กรณีแม่เมาะ
แหล่งถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
เป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีปริมาณสำรองประมาณ 1,490
ล้านตัน
จากปริมาณสำรองถ่านหินทั้งประเทศประมาณ
1,736 ล้านตัน มีการค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498
ยังผลให้เกิดการพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติของประเทศไทยครั้งใหญ่สุด โดยการลงทุนทำเหมืองขนาดใหญ่เพื่อนำถ่านหินลิกไนต์มาใช้ประโยชน์
ซึ่งปัจจุบันใช้สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่แม่เมาะเป็นหลัก
เมื่อมีการเผาไหม้ลิกไนต์เพื่อให้ได้พลังงานความร้อน ซึ่งจะถูกนำไปผลิตไอน้ำไปขับ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ผลของการเผาไหม้จะเกิดออกไซด์ของไนโตรเจนออกไซด์ ออกไซด์ของกำมะถัน ออกไซด์ของคาร์บอน สารไฮโดรคาร์บอน
และฝุ่นเถ้าซึ่งปริมาณของสารมลพิษดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับปริมาณถ่านหินที่ใช้ ที่ปล่อยออกมาทางปล่องสูง
ถ้าหากไม่มีระบบควบคุมจะมีการระบายสารมลพิษประเภทฝุ่นประมาณ 8
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ซัลเฟอร์ออกไซด์ 1
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ไนโตรเจนออกไซด์ 9
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ ไฮโดรคาร์บอน
0.15 กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ และ คาร์บอนมอนนอกไซด์ 0.5
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ผลกระทบจากสารมลพิษจะเกิด
ทั้งจากความร้ายแรงในตัวของสารแต่ละชนิด และเกิดในลักษณะที่เป็นมลพิษเสริม
ที่จะเป็นผลร้ายมากกว่าปกติ เช่นเมื่อฝุ่นพิษปรากฏพร้อมกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
และระดับที่เริ่มมีผลกระทบ
คือ
หนึ่งส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร
ดังนั้นปริมาณที่สารพิษระบายออกดังที่กล่าวมาก็อยู่ในขั้นส่งผลดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นที่แม่เมาะ
ถ่านหิน
ในบรรดาเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ทั้งหมดถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษระหว่างการเผาไหม้มากที่สุด และยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีอันตราย
ระหว่างการขุดเจาะนำขึ้นมาบนผิวโลกมากที่สุดอีกด้วย
ถ่านหินเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่ง ติดไฟได้จึงใช้เป็นเชื้อเพลิงปั่นไฟได้ นอกจากนี้ถ่านหินยังใช้เป็นแหล่งพลังงานในโรงงานขนาดใหญ่ๆ
เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ
โรงงานผงชูรส เป็นต้น เพราะหาได้ง่ายและราคาไม่แพง
แต่การเอาถ่านหินมาเผาจะได้ก๊าซพิษออกมาด้วย จึงต้องเลือกถ่านหินคุณภาพดี (มีกำมะถันต่ำ)
หรือไม่ก็ต้องมีวิธีลดสารพิษออกจากถ่านหินก่อนส่งไปเผา
หรือไม่เช่นนั้นต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องจับก๊าซพิษไว้ ผลกระทบของวิกฤติการณ์พลังงาน
ส่วนต่างๆ
ของโลกมีความพยายามแก้ไขปัญหาพลังงานเป็นสองแนวทาง คือ
การแสวงห พลังงานใหม่มาทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน พลังงานที่ประเทศต่างๆ หันมาให้ความสนใจ คือ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากชีวมวล ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ การประหยัดพลังงาน ซึ่งหมายถึง
การใช้พลังงานเท่าที่จำเป็นและการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์และกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลงโดยไม่ลดผลผลิต
ผลกระทบพลังงาน ซึ่งจะยกตัวอย่างผลกระทบจากพลังงานบางชนิด ดังนี้
4.9.1 ผลกระทบจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน – กรณีแม่เมาะ
แหล่งถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
เป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีปริมาณสำรองประมาณ 1,490
ล้านตัน
จากปริมาณสำรองถ่านหินทั้งประเทศประมาณ
1,736 ล้านตัน มีการค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498
ยังผลให้เกิดการพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติของประเทศไทยครั้งใหญ่สุด โดยการลงทุนทำเหมืองขนาดใหญ่เพื่อนำถ่านหินลิกไนต์มาใช้ประโยชน์
ซึ่งปัจจุบันใช้สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่แม่เมาะเป็นหลัก
เมื่อมีการเผาไหม้ลิกไนต์เพื่อให้ได้พลังงานความร้อน ซึ่งจะถูกนำไปผลิตไอน้ำไปขับ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ผลของการเผาไหม้จะเกิดออกไซด์ของไนโตรเจนออกไซด์ ออกไซด์ของกำมะถัน ออกไซด์ของคาร์บอน สารไฮโดรคาร์บอน
และฝุ่นเถ้าซึ่งปริมาณของสารมลพิษดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับปริมาณถ่านหินที่ใช้ ที่ปล่อยออกมาทางปล่องสูง
ถ้าหากไม่มีระบบควบคุมจะมีการระบายสารมลพิษประเภทฝุ่นประมาณ 8
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ซัลเฟอร์ออกไซด์ 1
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ไนโตรเจนออกไซด์ 9
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ ไฮโดรคาร์บอน
0.15 กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ และ คาร์บอนมอนนอกไซด์ 0.5
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ผลกระทบจากสารมลพิษจะเกิด
ทั้งจากความร้ายแรงในตัวของสารแต่ละชนิด และเกิดในลักษณะที่เป็นมลพิษเสริม
ที่จะเป็นผลร้ายมากกว่าปกติ เช่นเมื่อฝุ่นพิษปรากฏพร้อมกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
และระดับที่เริ่มมีผลกระทบ
คือ
หนึ่งส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร
ดังนั้นปริมาณที่สารพิษระบายออกดังที่กล่าวมาก็อยู่ในขั้นส่งผลดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นที่แม่เมาะ
ถ่านหิน
ในบรรดาเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ทั้งหมดถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษระหว่างการเผาไหม้มากที่สุด และยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีอันตราย
ระหว่างการขุดเจาะนำขึ้นมาบนผิวโลกมากที่สุดอีกด้วย
ถ่านหินเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่ง ติดไฟได้จึงใช้เป็นเชื้อเพลิงปั่นไฟได้ นอกจากนี้ถ่านหินยังใช้เป็นแหล่งพลังงานในโรงงานขนาดใหญ่ๆ
เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ
โรงงานผงชูรส เป็นต้น เพราะหาได้ง่ายและราคาไม่แพง
แต่การเอาถ่านหินมาเผาจะได้ก๊าซพิษออกมาด้วย จึงต้องเลือกถ่านหินคุณภาพดี (มีกำมะถันต่ำ)
หรือไม่ก็ต้องมีวิธีลดสารพิษออกจากถ่านหินก่อนส่งไปเผา
หรือไม่เช่นนั้นต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องจับก๊าซพิษไว้ ผลกระทบของวิกฤติการณ์พลังงาน
ส่วนต่างๆ
ของโลกมีความพยายามแก้ไขปัญหาพลังงานเป็นสองแนวทาง คือ
การแสวงหา พลังงานใหม่มาทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน พลังงานที่ประเทศต่างๆ หันมาให้ความสนใจ คือ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากชีวมวล ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ การประหยัดพลังงาน ซึ่งหมายถึง
การใช้พลังงานเท่าที่จำเป็นและการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์และกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลงโดยไม่ลดผลผลิต
ผลกระทบพลังงาน ซึ่งจะยกตัวอย่างผลกระทบจากพลังงานบางชนิด ดังนี้
4.9.1 ผลกระทบจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน – กรณีแม่เมาะ
แหล่งถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
เป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีปริมาณสำรองประมาณ 1,490
ล้านตัน
จากปริมาณสำรองถ่านหินทั้งประเทศประมาณ
1,736 ล้านตัน มีการค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498
ยังผลให้เกิดการพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติของประเทศไทยครั้งใหญ่สุด โดยการลงทุนทำเหมืองขนาดใหญ่เพื่อนำถ่านหินลิกไนต์มาใช้ประโยชน์
ซึ่งปัจจุบันใช้สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่แม่เมาะเป็นหลัก
เมื่อมีการเผาไหม้ลิกไนต์เพื่อให้ได้พลังงานความร้อน ซึ่งจะถูกนำไปผลิตไอน้ำไปขับ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ผลของการเผาไหม้จะเกิดออกไซด์ของไนโตรเจนออกไซด์ ออกไซด์ของกำมะถัน ออกไซด์ของคาร์บอน สารไฮโดรคาร์บอน
และฝุ่นเถ้าซึ่งปริมาณของสารมลพิษดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับปริมาณถ่านหินที่ใช้ ที่ปล่อยออกมาทางปล่องสูง
ถ้าหากไม่มีระบบควบคุมจะมีการระบายสารมลพิษประเภทฝุ่นประมาณ 8
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ซัลเฟอร์ออกไซด์ 1
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ไนโตรเจนออกไซด์ 9
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ ไฮโดรคาร์บอน
0.15 กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์ และ คาร์บอนมอนนอกไซด์ 0.5
กิโลกรัม/ตันของลิกไนต์
ผลกระทบจากสารมลพิษจะเกิด
ทั้งจากความร้ายแรงในตัวของสารแต่ละชนิด และเกิดในลักษณะที่เป็นมลพิษเสริม
ที่จะเป็นผลร้ายมากกว่าปกติ เช่นเมื่อฝุ่นพิษปรากฏพร้อมกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
และระดับที่เริ่มมีผลกระทบ
คือ
หนึ่งส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร
ดังนั้นปริมาณที่สารพิษระบายออกดังที่กล่าวมาก็อยู่ในขั้นส่งผลดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นที่แม่เมาะ
ถ่านหิน
ในบรรดาเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ทั้งหมดถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษระหว่างการเผาไหม้มากที่สุด และยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีอันตราย
ระหว่างการขุดเจาะนำขึ้นมาบนผิวโลกมากที่สุดอีกด้วย
ถ่านหินเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่ง ติดไฟได้จึงใช้เป็นเชื้อเพลิงปั่นไฟได้ นอกจากนี้ถ่านหินยังใช้เป็นแหล่งพลังงานในโรงงานขนาดใหญ่ๆ
เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ
โรงงานผงชูรส เป็นต้น เพราะหาได้ง่ายและราคาไม่แพง
แต่การเอาถ่านหินมาเผาจะได้ก๊าซพิษออกมาด้วย จึงต้องเลือกถ่านหินคุณภาพดี (มีกำมะถันต่ำ)
หรือไม่ก็ต้องมีวิธีลดสารพิษออกจากถ่านหินก่อนส่งไปเผา
หรือไม่เช่นนั้นต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องจับก๊าซพิษไว้
ถ่านหินบ้านเราเป็นประเภทลิกไนต์ซึ่งเป็นถ่านหินชนิดที่มีคุณภาพต่ำ การเผาลิกไนต์จะได้ความร้อนไม่มาก จึงผลิตไฟฟ้าได้ต่ำ อีกทั้งยังมีกำมะถันมากกว่าถ่านหินชนิดอื่น ทำให้มีก๊าซพิษออกมามากกว่า ซึ่งถ้าเป็นถ่านหินอย่างอื่น เช่น
ถ่านหินแอนทราไซด์
จะได้ความร้อนสูง
ผลิตไฟฟ้าได้มากและมีก๊าซพิษต่ำ
ประเทศไทยไม่ค่อยมีถ่านหิน เท่าที่มีอยู่เป็นถ่านหินคุณภาพต่ำ เราจึงต้องสั่งถ่านหินคุณภาพสูงมาจากต่างประเทศ
4.9.2 ผลกระทบจากการทำเหมืองถ่านหิน ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมผิวดิน
เหมืองถ่านหินที่เป็นเหมืองผิวดินมักเป็นเหมืองที่มีขนาดใหญ่
ต้องใช้พื้นที่ในการเปิดบ่อเหมืองและกองทิ้งดินผิวหน้าเป็นบริเวณกว้างขวางมาก สภาพแวดล้อมต่างๆ ในพื้นที่ทำเหมืองมี การเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เช่น
มีการตัดไม้ทำลายป่า
เส้นทางน้ำบางสายเปลี่ยนทิศทางสภาพบ่อเหมืองภายหลังการดำเนินการจะเป็นหลุมขนาดใหญ่และลึกมาก บริเวณที่กองทิ้งดินผิวหน้าจะมี สภาพเป็นเนินเขาขนาดใหญ่ที่ปราศจากต้นไม้ปกคลุม
การที่จะฟื้นฟูที่ดังกล่าวให้คืนสู่สภาพเดิมต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และระยะเวลาที่ยาวนาน
4.9.3 ผลกระทบด้านมลภาวะทางอากาศ
หากไม่มีมาตรการหรืออุปกรณ์ป้องกันมลพิษที่ได้มาตรฐาน
ฝุ่นละอองและผงถ่านหินที่เกิดจากการทำเหมืองรวมทั้งก๊าซเสียจากแหล่งแร่ เช่น
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะกระจายในอากาศ
และถูกกระแสลมพัดพาไปได้เป็นระยะทางไกลๆ
จะทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศและสภาพฝนกรดในบริเวณพื้นที่ทำเหมืองและพื้นที่ใกล้เคียง
4.9.4 ผลกระทบของการทำเหมืองยูเรเนียม
เนื่องจากในการทำเหมืองยูเรเนียมแบบเหมืองเปิดมีการเปิดหน้าดินออกเพื่อเอายูเรเนียมขึ้นมาใช้
การเปิดหน้าดินทำให้มีการพัดพาดินที่ประกอบด้วยหางแร่ (หางแร่จากเหมืองยูเรเนียมมี สารกัมมันตรังสีหลงเหลืออยู่ถึง 85%) กระจายไปในอากาศ และลงสู่แหล่งน้ำ
ฝุ่นดินที่ฟุ้งขึ้นไปในอากาศจะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของคนงานในเหมือง และชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับเหมือง จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า
จากจำนวนคนงานในเหมืองแร่ยูเรเนียม
6,000 คน มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงถึง 600-1,100
คน
4.9.5 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้น้ำมัน
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ,ม.ป.ป.) ไอเสียจากการเผาไหม้น้ำมันชนิดต่างๆ ในรถยนต์หรือในเตาเผาประกอบไปด้วย
1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
หากมีมากเกินไปทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกทำให้
โลกร้อนขึ้น
2. ไนโตรเจนออกไซด์
ทำให้เกิดสภาพความเป็นกรดและเกิดหมอกควันในที่ที่ใช้
ยานพาหนะมาก
3. มลภาวะทางอากาศอื่นๆ เช่น
คาร์บอนมอนออกไซด์ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายในคนปกติ และเป็นอันตรายในคนที่เป็นโรคหัวใจ
หรือเกิดมลพิษ เช่น
สารเบนซินซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้สารหนึ่ง
4. หมอกควัน จะมีมากในเวลาแดดจัดและไม่มีลม
หมอกควันมีผลกระทบต่อการหายใจและทำให้ระคายตารวมทั้งเป็นอันตรายต่อพืช
5. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เกิดฝนกรด และเป็นอันตรายต่อการหายใจ
6. ผลกระทบต่อทรัพยากรอื่นๆ
กระบวนการผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดทำให้เกิดน้ำเสีย
หรือการปล่อยสารไฮโดรคาร์บอนออกสู่บรรยากาศ
4.9.6
ผลกระทบที่เกิดจากกระบวนการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติ
ผลกระทบจากการขุดเจาะบริเวณแท่นขุดเจาะ มีก๊าซที่ติดไฟได้ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆแท่น
ชาวประมงที่เดินเรือผ่านจะต้องระมัดระวังไม่เข้าไปใกล้บริเวณแท่นขุดเจาะในระยะรัศมี 500
เมตร
ก๊าซธรรมชาติจะก่อให้เกิดปัญหาน้อยกว่าถ่านหินและน้ำมันมาก แต่ยังคงมีมลพิษปลดปล่อยออกมา
หลังการเผาไหม้บ้าง
ผลกระทบจากการขนส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตไปยังโรงงานแยกก๊าซ
หรือโรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติ อาศัยท่อเป็นหลัก โดยมีการวางท่อก๊าซใต้ทะเลจากแหล่งผลิตที่อยู่ในทะเลมายังโรงแยกก๊าซและโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ใกล้ชายทะเล
หรือส่งต่อทางท่อไปยังโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
ส่งจากโรงงานแยกก๊าซที่จังหวัดระยองไปยังจังหวัดสระบุรี เป็นต้น
สำหรับแนวก๊าซที่ทอดผ่านพื้นดินอาจมีส่วนที่ตัดผ่านเขตแนวป่าทำให้ต้องมีการโค่นล้มต้นไม้เป็นบางส่วน ซึ่งจะต้องมีการควบคุมดูแลให้เหมาะสม
4.9.7 ผลกระทบจากการใช้ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิง
การเผาไหม้ของชีวมวลทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกันกับการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล
ในบางกรณีเชื้อเพลิงชีวมวลก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเสียอีก (เปรียบเทียบฟืนกับก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น)
แต่ว่าชีวมวลนั้นมาจากพืชซึ่งระหว่างที่กำลังเติบโตก่อนนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้มีส่วนดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศเข้าไปใช้ในการสังเคราะห์แสง
ดังนั้นคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งปล่อยออกมาจากชีวมวลจึงเป็นการหมุนเวียนของคาร์บอนซึ่งถูกดูดซึมไปก่อนนี้
4.9.8 ผลกระทบจากการใช้พลังงาน
โดยปกติ
แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบโลก จะให้แสงสว่างและทำให้โลกอบอุ่น
ความร้อนที่ตกกระทบบางส่วนจะสะท้อนออกไป
บางส่วนจะถูกดูดซับโดยอากาศและไอน้ำรอบๆ
ผิวโลกทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า
ภาวะเรือนกระจก
การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค
กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
นอกจากจะเกิดมลภาวะทางอ้อมจากการใช้พลังงานอื่นๆ เช่น
พลังงานไฟฟ้าในการผลิตแล้ว
ในขบวนการผลิตโดยตรงและการบริโภคต่างๆ ยัง ส่งผลให้เกิดมลพิษและขยะอีกมากมาย
การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
เริ่มมีมากขึ้นนับตั้งแต่การปฏิวัติอุสาหกรรมในยุโรปในช่วงร้อยกว่าปีมานี้ และส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น